Saturday 6 April 2024

[Fanfic Daiya no A ; Kousawa] หนุ่มน้อยหมวกแดงกับหมาป่าแทนคุณ

Fanfic Daiya no A

หนุ่มน้อยหมวกแดงกับหมาป่าแทนคุณ

 

 

Pairing   : Okumura Koushuu x Sawamura Eijun

Rating    : SFW

 

 

 

ตารางสีมงคลบอกว่าสีแดงให้โชค แม้ซาวามุระ เอย์จุนมีเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ครบสี ทว่าของใช้สีแดงค่อนข้างขาดแคลน นอกจากเสื้อสองตัวที่นอนก้นตะกร้ารอซักตากก็เหลือเพียงเสื้อคลุมแบบมีฮู้ดกับกระเป๋าย่ามเท่านั้น ด้วยไม่มีทางเลือกนัก หากดึงดันใช้ของสีแดง ซาวามุระต้องหาเสื้อผ้าที่แต่งเข้าชุดกับหมวกและกระเป๋าย่ามให้ได้

เมื่อวานคุราโมจิส่งจดหมายผ่านพิราบสื่อสารมาบอกว่าไม่สบาย ทั้งยังใช้ตัวหนังสือโย้เย้แต่ทรงพลังจนขูดกระดาษแทบทะลุออกคำสั่งให้นำอาหารและยามาให้

ใครมาเห็นเข้าคงนึกว่าเป็นจดหมายข่มขู่...

การใช้ถ้อยคำอาจจะวางอำนาจจนไม่อยากให้ความร่วมมือ ทว่าซาวามุระได้รับความช่วยเหลือจากรุ่นพี่คนนี้มามากนับจากอดีตจนปัจจุบัน เขาอาจถามตัวเองหลายครั้งระหว่างตั้งอกตั้งใจทำอาหารไปเยี่ยมว่า...หยอดยาแปลกๆ ใส่ลงไปสักหน่อยดีไหมน้า? หากสุดท้ายก็ไม่ได้ทำ

ซาวามุระห่ออาหารและยาทั้งหมดลงตะกร้า พลิกป้ายหน้าร้านรับทำป้ายของตนว่าหยุดทำการ จากนั้นแวะซื้อผลไม้ในตลาดสองสามอย่างแล้วเดินลัดเลาะตามแนวป่าไปยังหมู่บ้านข้างเคียง

ระหว่างหมู่บ้านของซาวามุระกับคุราโมจิมีการถางป่าตัดเป็นถนนเส้นเล็กๆ ต่างทางลัด เทียบกันแล้วถนนปูอิฐอีกเส้นมีขนาดใหญ่กว่า ใช้งานสะดวกสบายกว่า แต่ทางลัดสายนี้ก็มีคนใช้สัญจรไปมาประปราย รอยล้อเกวียนและกีบเท้าสัตว์ยังคงใหม่อยู่มาก ไม่ถือว่าเปลี่ยวและอันตรายแต่อย่างใด

ตลอดชีวิตซาวามุระเดินผ่านถนนเส้นนี้นับครั้งไม่ถ้วน

"นี่มัน..."

แต่เพิ่งมีครั้งนี้ที่เจอสุนัขนอนขวางทาง 

แขนขาของสุนัขตัวนี้ยืดออกเป็นเส้นตรงทำแนว 180 องศาจากลำตัว...นอนได้พิลึกมาก

เคยได้ยินคำว่าจระเข้ขวางคลอง กลับมีโอกาสได้เจอสุนัขขวางทางซะงั้น

ไม่สิ

หรือว่า...

“หมาเหรอ?”

ด้วยไม่อยากเสียเวลาเดินย้อนกลับทางเดิม ซาวามุระจึงค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้ หมายจะเดินอ้อมทางขวาสุนัขตัวนี้เพื่อไปเยี่ยมคุราโมจิตามวัตถุประสงค์เดิม อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้ามาในระยะที่เห็นได้ชัดเจน เขาค่อยสำเหนียกว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้านี้ไม่ใช่สุนัข...น่าจะเป็นหมาป่าต่างหาก

แถมยังบาดเจ็บด้วย

ขาหลังมีร่องรอยการถูกทำร้าย เลือดรินออกมาย้อมพื้นดินจนเปลี่ยนสีสัน เพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ซาวามุระได้แต่สรุปจากการมองไม่เห็นกระสุนฝังในว่าอาจจะโดนยิงถากๆ เขานึกเวทนาสงสารจึงสละเสื้อคลุมสีแดงมาห้ามเลือดให้หมาป่าตัวดังกล่าว อุ้มมันหลบข้างทาง จากนั้นแบ่งของกินเล็กน้อยจากตะกร้ามาวางไว้ให้

“ฉันมีน้ำใจช่วยแกแค่นี้แหละ ขอให้กลับมาแข็งแรงให้ได้นะ”

              เด็กหนุ่มลูบศีรษะและหูปุกปุยเบาๆ ค่อยลุกเดินออกไป

 


              ในเวลาปกติคุราโมจิ โยอิจิเปรียบประหนึ่งเทพมารผู้น่าสะพรึงกลัว ยามถือขวานออกมาจากโรงหลอมเหล็กยิ่งมีออร่าข่มขวัญชวนเชื่อว่าหลุดออกมาจากนรกสักขุม กระนั้น เวลานี้กลับนอนแบ็บหมดท่าอยู่บนเตียงไม้หลังเล็กมุมห้อง ไม่เหลือเค้าแห่งความดุร้ายอยู่เลย

              ซาวามุระถ่ายอาหารลงถ้วยชามนำมาให้คนป่วย ถามว่าไปทำอะไรมาถึงได้เป็นแบบนี้

              คุราโมจิใช้ช้อนคนอาหารในถ้วย สูดน้ำมูกพลางบอกว่าแค่ตากฝนเท่านั้นแหละ

              เฝ้าไข้อยู่หนึ่งคืน วันถัดมาอาการของคุราโมจิทุเลาลงมาก ใบหน้ามีเลือดฝาด เรี่ยวแรงกลับคืนพอจะกระโดดถีบซาวามุระด้วยความรู้สึกขอบคุณเต็มเปี่ยมได้สบายๆ

              เนื่องจากต้องทำมาหากินเช่นเดียวกัน เห็นรุ่นพี่เริ่มแข็งแรง ซาวามุระช่วยเตรียมอาหารจากของเหลือในบ้านไว้ให้ จากนั้นขอตัวลากลับไปเปิดร้านตัวเองบ้าง

              หลังอาบน้ำเปลี่ยนชุดและพลิกป้ายเปิดทำการ ไม่นานก็มีลูกค้าเปิดประตูเข้ามา

              “แต่งงานกับผมซะ”

              ...เสียเมื่อไหร่ล่ะ

              ลูกค้าที่ไหนพูดจาแบบนี้วะ

              ซาวามุระตกใจได้เดี๋ยวเดียวก็ทำหน้าซังกะตายมองแขกคนประหลาด มั่นใจอย่างยิ่งยวดว่าชีวิตนี้ไม่เคยพบเจอเจ้าหนุ่มผมบลอนด์ตาฟ้าท่าทางอวดดีคนนี้มาก่อน...คงไม่ใช่มีคนเอาชื่อเขาไปแอบอ้างกู้เงินนอกระบบหรอกใช่ไหม?

              คิดไปคิดมา ชักไม่มั่นใจจนสีหน้าพิลึกกึกกือ

              “เอ่อ ไม่ทราบว่า...ใครครับผม?”

              เด็กหนุ่มที่ดูอ่อนวัยกว่าซาวามุระเล็กน้อยยกปลายคางนิดๆ คล้ายพยายามมองลงมาจากจุดที่สูงกว่า จนด้วยเกล้าที่ระดับสายตาต่ำกว่าอย่างไรก็ต่ำกว่าอยู่เหมือนเดิม ท่าทางนั้นจึงน่าขบขันอยู่เล็กน้อย

              อีกฝ่ายกล่าวอย่างไว้ตัว “ผมได้รับความช่วยเหลือจากคุณ ดังนั้นจะยอมแต่งงานด้วยเพื่อแทนคุณ”

              “เอ๊ะ? ไม่เอาอะ”

              “...”

              เด็กหนุ่มเจอหมัดฮุคสวนกะทันหันจนไปไม่เป็น เขาเผยสีหน้าเหลอหลาทำตัวไม่ถูกที่ดูน่ารักสมวัย 

              แต่ซาวามุระไม่ได้มีใจเอ็นดู ตบแปะลงบนไหล่คนแปลกหน้า กล่าวต่ออย่างขึงขังว่า “ถ้าไม่อุดหนุนก็อย่าเกะกะทางเข้าร้าน”

              “ไม่ใช่แบบนี้สิ เสื้อนี่...”

              ซาวามุระทันเห็นผ้าสีแดงแวบๆ แต่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เขารุนหลังคนออกไปแล้วปิดประตูตามเป็นเชิงไล่

              การต้มตุ๋นสมัยนี้พัฒนาไปไวชะมัด ไม่คิดว่าจะเจอหลอกแต่งงานเข้ากับตัวเลยนะเนี่ย

 


              อย่างไรก็ตาม แม้จะถูกไล่ไปแล้ว เด็กหนุ่มผมบลอนด์ยังคงมาปรากฏตัวในวันถัดมา และวันถัดๆ มา

เขาแนะนำตัวว่าชื่อโอคุมุระ โคชู

ได้ยินแล้วซาวามุระทุบกำปั้นลงบนฝ่ามือ...อื้ม! ไม่รู้จักจริงๆ ด้วย!

อย่างไรก็ดี โอคุมุระกลายเป็นขาประจำร้าน มานั่งเฉยๆ บ้าง ช่วยหยิบจับช่วยงานก๊อกๆ แก๊กๆ บ้าง เห็นหน้าบ่อยจนเพื่อนฝูงที่แวะเวียนมาหาซาวามุระต่างคิดว่าเป็นพนักงานใหม่ พวกเขาพากันประหลาดใจเมื่อพบว่าความจริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้น

โอคุมุระมีด้านเอาจริงเอาจังและเจ้าระเบียบ ตอนลงมาช่วยงานแบ่งเบาภาระให้ซาวามุระได้ในระดับหนึ่ง แม้ไม่อาจนับเป็นพนักงานเต็มตัว อีกทั้งเจ้าตัวไม่รับเงินทองเป็นสินน้ำใจ หนังหน้าซาวามุระไม่หนาพอจะรับความช่วยเหลือฟรีๆ จึงตอบแทนด้วยการชวนกินข้าว

โอคุมุระย่อมตอบรับ สีหน้าบ่งบอกว่าตนสมควรได้รับการตอบแทนมากกว่านี้ แต่ในเมื่อมีปัญญาให้แค่นี้จะยอมรับน้ำใจไว้ก็ได้

เทียบกับความประทับใจแรกพบที่เป็นเด็กอวดดี เวอร์ชันอัพเกรดของอีกฝ่ายนอกจากความอวดดีแล้วยังมีความต้องการเอาชนะด้วย นานวันเข้าความเกรงอกเกรงใจยิ่งหดหาย

“แต่งงาน!

“...”

อุตส่าห์มีดวงตาสีโทนเย็นกลับแสดงความร้อนระอุและไฟแห่งความกระหายในการพิชิตออกมาได้ ในแง่หนึ่งนับว่ามีพรสวรรค์แฮะ

การแทนคุณ = การแต่งงานตั้งแต่ตอนไหนกัน...? ซาวามุระอยากเหม่อมองฟ้า แต่เพราะยังอยู่ในบ้านที่ดัดแปลงส่วนหนึ่งเป็นร้านรับทำป้ายจึงเปลี่ยนเป็นเหม่อมองเพดานแทน ระหว่างที่เหม่อมือยังขัดไม้สำหรับทำป้ายร้านขายของเล่นให้ลูกค้าไปด้วย

“บอกแล้วไงว่าไม่แต่ง ฉันต้องทำงานต่อแล้ว ถ้าจะเกะกะล่ะก็...ชิ่วๆ”

“ประกอบกิจการแล้วไม่ทำบัญชี คำนวณต้นทุนก็ไม่เป็นแล้วตั้งราคามั่วซั่ว รายได้รายจ่ายเละเทะไปหมด...ไม่ได้ความขนาดนึ้ถึงได้ไม่รวยสักทีไงครับ”

“...”

"ตั้งแต่ผมมาช่วยไม่รู้สึกเหรอว่าถือเงินเยอะขึ้นน่ะ คนที่ควรลำเลิกบุญคุณควรเป็นฝ่ายผมด้วยซ้ำ"

"..."

ไอ้เด็กนี่มันย้อนเว้ย!

ถึงทีซาวามุระบ้างที่อ้าปากพะงาบๆ โอคุมุระส่งเสียงขึ้นจมูกทีหนึ่ง เดินดุ่มเข้ามาหยุดข้างโต๊ะใกล้ๆ ซาวามุระ เหลียวซ้ายแลขวาครู่หนึ่งก็หรี่ตามองเศษไม้กับอุปกรณ์ทำป้ายที่วางระเกะระกะด้วยสายตาเวทนา เปลี่ยนไปหาเสาแขวนหมวกซึ่งมีทั้งหมวก กระเป๋า และเข็มขัดสีสันเจ็บจี๊ดแขวนอยู่เต็มแทน

โอคุมุระหยิบของชิ้นบนๆ ออก จากนั้นนำผ้าพันคอขนสัตว์ที่ไม่ทราบเมื่อครู่นำไปแอบไว้ตรงไหนออกมา

เขาวางมันไว้ด้านบนสุดอย่างปราณีตบรรจง

“เอาไปขายซะนะครับ ตั้งราคา XXX เหรียญทอง”

“แค่ก!

“...”

สายตาที่ทอดมองซาวามุระซึ่งสำลักจนน้ำลายกระเด็นมีแต่ความเหยียดหยาม

อนึ่ง โอคุมุระไม่ได้โจมตีจิตใจอันอ่อนไหวของซาวามุระมากเกินไปนัก เขาดึงสายตากลับไปในเวลาไม่นาน มองผ้าพันคอสีอ่อนซึ่งมีขนเรียงตัวสลวย สำทับเพิ่มเติมว่า “จำไว้นะครับว่าห้ามโดนพ่อค้าหว่านล้อม ไม่ว่าจะนำไปขายที่ร้านไหนก็ห้ามตั้งราคาต่ำกว่านี้โดยเด็ดขาด นอกจากนี้...”

“เดี๋ยวๆๆ” ต่อให้ไม่ทราบอายุแน่ชัด ทว่าจากรูปลักษณ์ภายนอก ซาวามุระขอตัดสินไปก่อนว่าตัวเองอาวุโสกว่า ซึ่งนั่นทำให้ศักดิ์ศรีเสี้ยวหนึ่งเกิดอาการต่อต้านเมื่อถูกผู้น้อยสั่งฉอดๆ “ทำไมฉันต้องทำตามคำสั่งนายด้วย?”

หางตาคนฟังกระตุก “ไม่ต้องการเงินรึไงครับ”

“ฉันหมายความว่าถ้าจะสั่งเยอะแยะขนาดนี้ทำไมไม่ไปทำเองเล่า”

โอคุมุระขยับปากราวจะเถียง ทว่าอดใจไว้ทัน พอสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งเฮือก หัวถึงเย็นลง

“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ”

ด้วยนึกว่าจะโดนสวนกลับมา พอตอบรับง่ายๆ อย่างนี้ ซาวามุระพลอยทำหน้าไม่ถูก 

บทสนทนาถูกตัดตอนดังฉับอย่างไม่คาดคิด โอคุมุระไม่นำพาต่อสีหน้าเซ่อซ่าดังกล่าว เขาเก็บผ้าพันคอกลับคืน จากนั้นปุบปับออกจากร้านไปโดยไม่เอ่ยอะไรทั้งสิ้น ซาวามุระนั่งทำงานด้วยใจไม่สงบทั้งวันก็ไม่เห็นอีกฝ่ายกลับมาสักที

กว่าจะเห็นหนุ่มน้อยปากร้ายผมบลอนด์อีกครั้ง เป็นอีกสี่วันให้หลัง

ซาวามุระสวมชุดโทนสีส้มตามตารางสีมงคลออกไปซื้อวัตถุดิบทำอาหารกับอุปกรณ์ช่างที่ขาดเหลือ เมื่อเปิดประตูเข้าบ้านมาค่อยพบว่าโอคุมุระจองโซฟาตัวประจำอยู่ก่อนแล้ว กำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างผ่อนคลายประหนึ่งอยู่ในบ้านตัวเอง เล่นเอาซาวามุระที่ล็อกประตูทิ้งไว้หน้าเขียวคล้ำ

“บุกรุก!

“เปิดหน้าต่างไว้ทุกบาน แถมประตูหลังไม่ได้ล็อก ล็อกแค่ประตูหน้าคิดว่าช่วยป้องกันตีนแมวได้จริงเหรอครับ” โอคุมุระพลิกหน้ากระดาษกล่าวเรียบๆ ไม่ปรายตามองด้วยซ้ำ “ที่แล้วมาทรัพย์สินคุณอาจจะหายไปโดยไม่ทันสังเกตเพราะความประมาทเลินเล่อนี่ก็ได้ ยังไงก็ระวังหน่อยเถอะ”

“...”

...สีมงคลไหนทำให้ไม่โดนย้อนศรได้บ้าง?

ถึงยังไงก็นับว่าเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาแล้ว ต่อให้ฉุนอยู่บ้าง ซาวามุระซึ่งค่อนข้างใจกว้างปล่อยวางได้อย่างรวดเร็ว ระหว่างนำของที่ซื้อมาไปเก็บ เขาเพียงตำหนิพอเป็นพิธีว่าถ้าเจ้าบ้านไม่อนุญาตจะอย่างไรก็ไม่ควรซี้ซั้วเข้าไป ให้รอก่อน หรือค่อยกลับมาอีกทีภายหลังจะดีกว่า นี่เป็นมารยาทพื้นฐานเลยนะ

ตอนยกอุปกรณ์ช่างจุกจิกออกมาหลังเก็บอาหารสด ซาวามุระเพิ่งเปิดกล่องเครื่องมือ ยังไม่ทันใส่อะไรลงไปสักชิ้น โอคุมุระก็ลุกจากโซฟาเดินมาหา ถือถุงขนาดประมาณหนึ่งกำปั้นพองๆ มาด้วย

ถุงใบนั้นถูกวางลงบนโต๊ะไม้ เกิดเสียงทึบๆ ดังตุ้บ

“เอ้า”

ด้านในเต็มไปด้วยเหรียญสีทองอร่าม

ในขณะที่ซาวามุระอึ้งจนตัวแข็งทื่อ โอคุมุระไหวไหล่บอกว่าผ้าพันคอผืนนั้นควรขายได้ราคาดีแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้าคนนำไปขายเป็นซาวามุระที่ไม่รู้มูลค่าของสิ่งของ ผลลัพธ์อาจจะต่างออกไป

“ถึงต้องใช้เวลาสักหน่อยแต่ค่อยๆ ทำออกมาเรื่อยๆ เดี๋ยวก็สะสมเงินทองได้มากขึ้นเอง เงินถุงนี้เอาไปใช้ตามใจชอบเถอะครับ”

ซาวามุระถอยกรูดราวกับกลัวแสงวิบวับจะจิ้มตาตัวเองบอด เจ้าตัวเอ่ยตื่นๆ “นายเก็บไว้สิ เอามาให้ฉันทำไม!

โอคุมระยัดถุงเงินใส่มือซาวามุระ ตอบหน้าตาเฉยว่า “สามีภรรยาช่วยกันทำมาหากินมีตรงไหนไม่เหมาะสมล่ะ” แต่แล้วก็ชะงัก เอียงศีรษะคิดว่ามีบางจุดเหมือนจะไม่เหมาะสมจริงๆ...เลยแก้ใหม่เป็น “นับเป็นสินสอดสู่ขอไปก่อนจะเข้าเค้ากว่าหรือเปล่า?”

“ไม่เข้า!

ต่อให้เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น ซาวามุระยังคงเก็บความไม่สบายใจต่อโอคุมุระ โคชูเอาไว้เสี้ยวหนึ่ง ตัวตนของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยปริศนามากเกินไป เขาปรากฏตัวต่อหน้าซาวามุระอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแล้วพูดเรื่องการแต่งงาน แม้เริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้นก็ยังแทบไม่รู้เรื่องส่วนตัวอยู่ดี...ครอบครัวอยู่ที่ไหน พักอาศัยอยู่ที่ใด ใช้ชีวิตอย่างไร

ยิ่งหลังจากโอคุมุระถือสิทธิ์มายึดห้องในบ้านซาวามุระเป็นของตนแล้วปฏิบัติเช่นคู่รักที่อยู่กินก่อนแต่งงาน ความกังวลใจของซาวามุระก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

“นายไปหามาจากไหน”

ซาวามุระหมายถึงชุดขนสัตว์ต่างๆ ที่โอคุมุระนำไปขายแล้วมอบเงินให้ตน

พอย้ายมาอยู่ด้วยกัน บางครั้งโอคุมุระจะปิดตายห้องของตน สั่งแข็งขันว่า ห้ามเข้า ไม่กี่วันถัดมาค่อยออกมาจากห้องที่ยึดคนอื่นไปซุกหัวนอนพร้อมเครื่องนุ่งห่มสำหรับนำไปขาย ซาวามุระคิดว่าเสียงกุกกักทั้งหลายเกิดจากการที่โอคุมุระกำลังถักทออย่างอุตสาหะ ทว่าที่บ้านของเขาซึ่งเป็นร้านรับทำป้ายไม่มีอุปกรณ์มากกว่าชุดเย็บผ้าขนาดเล็กสำหรับปะชุน หรือต่อให้ใช้เข็มกับด้ายชุดเล็กๆ สร้างสรรค์เสื้อผ้าออกได้ ขนสัตว์และส่วนประกอบชุดอื่นๆ ถูกนำเข้ามาตั้งแต่ตอนไหนกัน?

พอถามออกไป...

“ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรหรอกครับ”

คำตอบที่ได้รับกลับไม่ช่วยคลายความสงสัย

ซาวามุระใจกว้างพอจะให้โอคุมุระอาศัยอยู่ฟรี ทว่าเขาอดสงสัยไม่ได้จริงๆ

ด้วยเหตุนี้แม้เริ่มรู้สึกใจเต้นหรือขัดเขิน รวมทั้งหันมาพิจารณาเรื่องการแต่งงานตามที่โอคุมุระเพียรกรอกหูซ้ำๆ เขาก็ยังไม่อาจตัดสินใจตอบรับคำเชิญชวนได้อยู่ดี ซาวามุระเถรตรงและกล้าแสดงออกมาตลอดจึงหันหน้าชนมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง กระนั้นโอคุมุระกลับบ่ายเบี่ยงและไม่ยอมเล่าเรื่องของตัวเองไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ซาวามุระ เอย์จุนพกความคับข้องใจล้นปรี่ไปปรึกษาเหล่าเพื่อนสนิท

“ผมคิดว่าเอย์จุนคุงเลิกสนใจคนไว้ใจไม่ได้แบบนั้นจะดีกว่านะ” โคมินาโตะ ฮารุอิจิ

“นั่นสิ พฤติกรรมดูคล้ายมิจฉาชีพอยู่เหมือนกัน...แต่ทำไมถึงให้เงินก้อนโตล่ะ?” โทโจ ฮิเดอากิ

“คิดมากทำไม บ้านตัวเองแท้ๆ ไล่ออกไปซะ” คาเนมารุ ชินจิ

“...ฟี้” ฟุรุยะ ซาโตรุ...หลับอยู่นี่หว่า

ตัดหนึ่งคนที่ไม่ได้ฟังออกไป ความเห็นที่เหลือล้วนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทว่าซาวามุระที่เผลอใจหวั่นไหวเข้าแล้วไม่อาจนำคำชี้แนะมาประพฤติปฏิบัติตามได้ง่ายๆ ทั้งยังพยายามคิดข้อแก้ตัวแทนอ้อมๆ แอ้มๆ

“ถึงจะน่าโมโหไปบ้างแต่หมอนั่นเป็นคนดีนะ”

ปัง

ลูกชายเจ้าของแผงขายเนื้อต้องชำแหละและหั่นเนื้อสดทุกวี่ทุกวัน กำลังแขนยามตบโต๊ะของคาเนมารุจึงชวนขวัญผวาอยู่ไม่น้อย ดวงตาคมกริบใต้คิ้วคมเข้มจ้องเขม็งราวกับโกรธเพื่อนหน้าโง่ที่พูดไม่รู้ฟัง ขณะเดียวกันก็มีความอับจนผสมอยู่หลายส่วน “หลงผู้ชายจนหน้ามืดตามัวแล้วเหรอเนี่ย...”

              “ไม่ใช่โว้ย!

              ...ความเห็นอันร้อนแรงจากมิตรสหายนั้น อย่าว่าแต่ตบหน้าเรียกสติเลย จับทุ่มลงพื้นให้ได้สติมากกว่า

              ซาวามุระหันกลับมาทบทวนตัวเอง ยอมรับว่าตนปล่อยปละละเลยโอคุมุระมากเกินไปจริงๆ เขาไม่จำเป็นต้องค้อมหัวปะหลกๆ เชื่อฟังสักหน่อย ฉะนั้น ในคืนนี้อันเป็นอีกวันที่โอคุมุระ โคชูขังตัวอยู่ในห้องพร้อมประกาศไว้ล่วงหน้าว่าห้ามรบกวน ซาวามุระจึงสวมชุดแดงปลุกใจ ขอดูหน่อยเถอะว่ากำลังแอบทำอะไรอยู่!

              วัตถุสีเงินในมือสะท้อนแสงวิบวับ

              พลังอำนาจของเจ้าบ้านที่มีกุญแจห้องทั้งหมดสำแดงเดช ประตู้ห้องเปิดอ้าซ่าในครั้งเดียว

              “โอคุมุระ โทษทีนะ แต่ฉันน่ะ...!

              “...”

              คำพูดที่เตรียมไว้ขาดหายกลางคัน

              ดวงตาสีทองกับสีฟ้าสบประสาน

              สุนัขตัวโต...ไม่สิ หมาป่าตัวนี้...

              สัตว์ป่าซึ่งนอนหมอบอยู่กลางห้องค่อยๆ ขยับตัวยืนขึ้นด้วยสี่ขา รูปร่างสมส่วนสง่างามยืดขยายอย่างพิสดาร ขนอ่อนนุ่มหดสั้น...ค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นหนุ่มน้อยคนหนึ่ง

              “บอกแล้วไงครับว่าห้ามเข้ามาเด็ดขาด”

               รูม่านตาคงสภาพอยู่ในแนวตั้งชั่วระยะสั้นๆ แม้ร่างกายเปลี่ยนเป็นมนุษย์เสร็จสมบูรณ์..ดวงตาของสัตว์ป่าเป็นอวัยวะส่วนที่ใช้เวลามากที่สุดในการสลับสับเปลี่ยนระหว่างทั้งสองร่าง และเป็นเครื่องยืนยันว่าโอคุมุระไม่ใช่มนุษย์

              "นะ นาย..." ซาวามุระได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง ตกใจจนแข้งขาอ่อนยวบ

              โอคุมุระรู้ดีว่าต้องให้เวลาซาวามุระในการยอมรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้ผลีผลามยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ครั้นจะถอยมาอยู่ห่างๆ ก็นึกเป็นห่วงจึงเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ หากสัมผัสตอนนี้ไม่ได้ ได้มองดูใกล้ๆ ก็ยังดี ทว่าเจ้าของบ้านผู้เพิ่งเผยท่าทีหมดเรี่ยวแรงไปหมาดๆ กลับพองขนแล้วแหวใส่ดังลั่น

              “นุ่งผ้าซะ!

              “อ๊ะ...!”

              โอคุมุระพุ่งไปหยิบผ้าผ่อนแล้วสวมใส่อย่างรวดเร็ว ไม่กี่วินาทีก็กลับมานั่งขัดสมาธิสังเกตการณ์ข้างๆ ราวกับกลัวจะมีคนเผ่นหนี ต่อให้ไม่จับตัว สายตาแทบจะตรึงคนทั้งคนไว้กับพื้นบ้าน

              “รู้ความลับผมแล้วอย่าคิดว่าผมจะปล่อยไปนะ”

              “...มะ ไม่ใช่ว่าถูกรู้ความลับแล้วต้องหนีเหรอ เป็นใครก็ต้องหนีทั้งนั้นแหละ...แล้วสรุปนายเป็นตัวอะไรกันแน่เนี่ย”

              ภาพเมื่อสักครู่ไม่ใช่ภาพลวงตา ซาวามุระจำสีขนได้ว่าเป็นหมาป่าตัวเดียวกับที่ตนพบว่ากำลังนอนบาดเจ็บ กระนั้นพฤติกรรมของโอคุมุระกลับเห็นได้ชัดว่าเหมือนมนุษย์ สามารถใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ได้อย่างปกติ นอกจากนี้วาจาเสียดสีเหน็บแนมทั้งหลายกับวิธีการคิดรูปแบบต่างๆ ก็ไม่ชวนให้นึกถึงสัตว์ด้วย ถึงขั้นทำให้ซาวามุระนึกดูถูกตัวเองที่สู้เด็กไม่ได้ด้วยซ้ำ

              ความเป็นมาเป็นยังไงกันแน่

              เป็นคน? เป็นสัตว์?

            หรือจะไม่ใช่ทั้งสอง?

              ไพล่ย้อนไปถึงเรื่องที่ว่าเพิ่งเห็นบาดเจ็บอยู่หยกๆ วันถัดมาโอคุมุระ โคชูกลับมาปรากฏตัวในคราบมนุษย์โดยปราศจากบาดแผล สมองอยากระเบิดตัวเองดังตูม

              โอคุมุระสำรวจสีหน้าคนข้างกายอย่างละเอียด เขาหยั่งเชิงด้วยการลองส่งมือเข้าไปใกล้ๆ เมื่อไม่เห็นปฏิกริยาขัดขืนค่อยฉวยมือข้างหนึ่งของซาวามุระขึ้น รวบนิ้วทั้งห้าเอาไว้แล้วบีบเบาๆ

              “ไม่ต้องกลัว ผมจะค่อยๆ เล่าให้ฟังเอง”



              หลังจากนั้นบ้านหลังน้อยของซาวามุระ เอย์จุนมีผู้อยู่อาศัยถาวรเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน พวกเขาใช้ชีวิตเช่นคู่รักทั่วไป นอกจากความเป็นอยู่ดีขึ้นทันตาเห็นจนมีคนทักว่าไปเสริมดวงมาหรือไง การใช้ชีวิตของซาวามุระก็ดูเข้ารูปเข้ารอยกว่าเดิม มิตรสหายคนรู้จักหลายคนปาดน้ำตาพึมพำว่า...ได้พบคู่ชีวิตที่ดีจนได้นะ

              มีก็แต่คนสนิทกลุ่มหนึ่งที่ไม่วางใจนัก เนื่องจากซาวามุระเคยนำเรื่องโอคุมุระมาปรึกษาเชิงบ่น ทว่าภายหลังเหมือนไปรู้อะไรมาแล้วเลือกอุบเงียบ บอกเพียงบ้านเกิดของโอคุมุระเป็นเมืองทุรกันดารห่างไกลและไร้ญาติขาดมิตร 

            "ไม่ต้องคิดมากหรอก ปะ เป็นคนดีก็พอแล้วนี่นา เนอะ...ฮ่าๆๆ"

              ไม่คิดมากได้ไงล่ะโว้ย...!

หากไม่ติดว่าทุกอย่างยังคงดำเนินไปได้ด้วยดี เพื่อนๆ ที่เอาใจใส่กว่าที่เห็นได้กรูเข้าไปยุ่มย่ามเรื่องในบ้านคนอื่นแล้ว

“เอาน่า ถ้าต้องการความช่วยเหลือฉันไม่เกรงใจพวกนายแน่” ตัวต้นเรื่องตบอกปุๆ พลางให้คำมั่น พูดจบก็หัวเราะเสียงดังอีกคำรบ

ซาวามุระ เอย์จุนไม่มีพลังพิเศษในการล่วงรู้อนาคต เขาเชื่อในสัญชาตญาณและเลือกโดยอาศัยความรู้สึก

ในกรณีของโอคุมุระ โคชูนี้ ไม่รู้ว่ามันเป็นคำตอบที่ ถูกต้องหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็เลือกในสิ่งที่จะไม่ทำให้ เสียใจภายหลัง

นั่นคือการมีชีวิตและใช้ชีวิตในแบบของเขา

 

 

 

Talk

เอย์จุนไปเอาตารางสีมงคลมาจากไหนเหรอ แอบแม่นนะเนี่ย?